กรุงเทพฯ 3 มิ.ย. - นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุม ว่าที่ประชุมฯ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ จำนวน 1,847 ล้านบาท ให้กระทรวงพลังงานไปดำเนินการ
ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (
Solar Rooftop) ให้กับอาคารภาครัฐ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพลังงานทดแทนที่มีความเหมาะสมในการสนับสนุนเพื่อประหยัด พลังงานไฟฟ้าลดค่าใช้จ่ายและลดการนำเข้าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าได้
ทั้งนี้ การดำเนินโครงการดังกล่าว เป็นไปตามเป้าหมายการผลิตพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทน และพลังงานทางเลือก 25% ใน 10 ปี (พ.ศ.2555-2564) เท่ากับ 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งได้กำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินการส่งเสริมระบบขนาดเล็กที่สามารถติดตั้งได้ ในชุมชนและ
ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ให้ได้ 1,000 เมกะวัตต์ใน 10 ปี โดยพิจารณาติดตั้งระบบดังกล่าวในอาคารบ้านเรือนบ้านจัดสรรคอนโดมิเนียมโรง งานอุตสาหกรรมอาคารสำนักงาน และอาคารภาครัฐเป็นต้น
ปัจจุบันอาคารภาครัฐกระจายอยู่ทั่วประเทศประมาณ 5,298 แห่ง มีการใช้พลังงานในภาพรวมประมาณ 673 ล้านหน่วย/ปีหรือปีละ 57 ktoe ซึ่งภาครัฐมีภาระค่าใช้จ่ายสำหรับค่าไฟฟ้าในอาคารภาครัฐกว่า 2,500 ล้านบาท/ปี ดังนั้นการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) จะสามารถผลิตไฟฟ้าใช้ในอาคารภาครัฐได้เองและยังสามารถช่วยตอบสนองความต้อง การใช้พลังงานในช่วงกลางวัน (Peak load) อีกด้วย
สำหรับโครงการดังกล่าวตั้งเป้าหมายติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บน หลังคาอาคารศาลากลางจังหวัดในเขตรับผิดชอบของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทั้ง 74 จังหวัดและหลังคาอาคารของรัฐในเขตจังหวัดในความรับผิดชอบของการไฟฟ้าส่วน ภูมิภาคทั้ง 74 จังหวัด เช่น อบต. เทศบาลฯลฯ รวมทั้งสิ้นประมาณ 25 เมกะวัตต์โดยแบ่งเป็นจังหวัดขนาดใหญ่ที่มีจำนวนตำบลมากกว่า 180 ตำบล จำนวน 8 จังหวัด รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 6 เมกะวัตต์ จังหวัดขนาดกลางที่มีจำนวนตำบลระหว่าง 90-180 ตำบล จำนวน 27 จังหวัดรวมกำลังการผลิตติดตั้ง 10.5 เมกะวัตต์ และจังหวัดขนาดเล็กที่มีจำนวนตำบลน้อยกว่า 90 ตำบลจำนวน 39 จังหวัดรวมกำลังการผลิตติดตั้ง 8.5 เมกะวัตต์
“สำหรับการดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคานำ ร่องในอาคารของรัฐในภูมิภาคในครั้งนี้ กระทรวงพลังงานคาดการณ์ว่าจะช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ 36.5 kwh /ปี คิดเป็นเงินประหยัดได้ปีละ 146 ล้านบาท**และลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าประมาณ 11 ล้านลิตร/ปีหรือปีละประมาณ 330 ล้านบาท**นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ประมาณ 18,980 ตัน/ปี ลดการปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์(Sox)ได้ประมาณ 5 ตัน/ปี และลดการปล่อยไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ได้ประมาณ 52 ตัน/ปี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าว ( ราคาไฟฟ้า 4 บาท/หน่วย และ ราคาน้ำมันดีเซล 30 บาท/ลิตร)
นอกจากนี้ที่ประชุมฯ ยังเห็นชอบอนุมัติงบประมาณจำนวน 300 ล้านบาท ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ดำเนินโครงการศึกษาวิจัยต้นแบบ “วิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงาน (ก๊าซชีวภาพจากพืชพลังงาน)” เพื่อส่งเสริมให้นำพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกต่างๆ ในชุมชนที่มีศักยภาพมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งนอกจากจะช่วยประเทศมีความมั่นคงด้านพลังงาน ยังเป็นการช่วยสร้างอาชีพที่มีรายได้มั่นคง ยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนในท้องถิ่นอีกด้วย
ทั้งนี้โครงการดังกล่าว จะส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันเป็นวิสาหกิจชุมชนหรือสหกรณ์การเกษตรทำการ ปลูกพืชพลังงาน โดยมีสัญญาซื้อขายพืชพลังงานกับโรงงานผลิตก๊าซชีวภาพ โดยก๊าซชีวภาพที่ได้ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ใน 3 รูปแบบคือ ผลิตไฟฟ้า ผลิตก๊าซชีวภาพอัด (Compress Bio Gas : CBG) และนำไปใช้เป็นก๊าซหุงต้มแทนก๊าซแอลพีจี (LPG) นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลโครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืช พลังงาน (One Stop Service) ทำหน้าที่เป็นศูนย์บริการข้อมูลและประชาสัมพันธ์โครงการฯ ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน พร้อมจัดตั้งต้นแบบโครงการวิสาหกิจชุมชนพลังงานสีเขียวจากพืชพลังงาน เพื่อให้การสนับสนุนภาคเอกชนนำไปขยายผลต่อไป
“กระทรวงพลังงานคาดว่าการดำเนินโครงการดังกล่าว นอกจากจะทำให้มีการผลิตและใช้พลังงานทดแทนอย่างกว้างขวางแล้ว ยังเป็นช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในประเทศ และยังช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกพืชพลังงานอย่างน้อย 3,500 บาท/ไร่/ปี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าว .-สำนักข่าวไทย
By สำนักข่าวไทย TNA News | 3 มิ.ย. 2556 15:32